ขอคุณครับที่แนะนำ ผมอ่านแล้วครับ
วันนี้...ตามชุมชนทั้งในเมือง นอกเมืองมีการตั้งกลุ่มสหกรณ์...ใช้ชื่อสหกรณ์แอบแฝง แสวงประโยชน์ ไม่ต่างกับธุรกิจปั่นเงิน
พบว่า มีกลุ่มคนเข้ามาหากินลักษณะนี้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีฐานะ เริ่มด้วยการเอาเงินมาฝากสหกรณ์
ยิ่ง ภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ ถ้าเอาเงินไปฝากสหกรณ์ ได้ดอกเบี้ยมากกว่า หากจะกู้ดอกก็ถูกกว่าสถาบันการเงิน สหกรณ์จึงเป็นช่องทางได้ผลประโยชน์สองเด้ง...ทั้งสิทธิการกู้ การฝากที่ได้ผลกำไร
ปกติแล้วหลักใหญ่สหกรณ์คือเอาคนที่มีปัญหาเข้ามา รวมกลุ่มกัน เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มนี้ โดยไม่แสวงหากำไร ทุกคนมีสิทธิเข้าไปแสดงความคิดเห็น โดยหลักประชาธิปไตย วางทุกปัญหาบนโต๊ะ แก้ปัญหากันเอง ผ่านระบบวันแมนวันโหวต
ปัญหาของ ระบบสหกรณ์ก็มาจากหลักการดำเนินกิจการของสหกรณ์ เพื่อให้สมาชิกได้ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกลุ่มสหกรณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น
"เหมือนกับการดำเนินธุรกิจเอกชน รัฐบาลจึงให้การช่วยเหลือหลายรูปแบบ เพื่อให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชนในระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นภาษี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสหกรณ์ที่สูงกว่าสถาบันการเงิน ทั่วไป"
จิตรกร สามประดิษฐ์ รองอธิบดี กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บอก
ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสหกรณ์อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 ต่อปี ในขณะที่สถาบันการเงินมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 1.5 ต่อปี
หากฝากกับระบบสหกรณ์...จะได้กำไรมากกว่า 2 เท่า
จิตรกร บอกว่า จากจุดนี้เอง...ทำให้เกิดกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์จากระบบสหกรณ์ ทั้งที่ถูกกฎหมาย ไม่ถูกกฎหมาย บ้างก็เข้ามาด้วยวิถีทางพิเศษ
ตัวอย่าง ของการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ อย่างเช่น...มีกระบวนการเอาเงินมาฝากในนามของสมาชิก แต่เจ้าของเงินไม่ได้เป็นสมาชิก เช่น สมาชิกสหกรณ์ที่ญาติร่ำรวย ถ้าเอาเงินไปฝากกับสถาบันการเงินจะได้ดอกเบี้ยน้อย ก็จะนำมาฝากในระบบสหกรณ์ที่ได้ดอกเบี้ยสูงกว่าถึงร้อยละ 3
"หมายความ ว่า เอาบุคคลภายนอกเข้ามาหาผลประโยชน์ในระบบสหกรณ์ ซึ่งดอกเบี้ยที่บุคคลนั้นได้เพิ่มมาจากสหกรณ์ 1.50 บาท... ถือว่าเป็นเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากหยาดเหงื่อ เลือดเนื้อของสมาชิกทุกคน"
ว่ากันตามมูลค่าความเสียหาย กระบวนการทุจริตในระบบสหกรณ์ ปัจจุบันคาดการณ์ว่าอยู่ที่ประมาณ 1% ของปริมาณธุรกิจทั้งหมด
ปัจจุบัน สหกรณ์มีเงินทุนหมุนเวียน 1.2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่สมาชิกถือหุ้น 4 แสนล้านบาท และเงินฝากของสมาชิก 8 แสนล้านบาท ที่ผ่านมาการดำเนินกิจการของสหกรณ์มีกำไรอยู่ที่ 35,000 ล้านบาท
"หนึ่ง เปอร์เซ็นต์...ของการเข้ามาหาผลประโยชน์จากกลุ่มคนที่ไม่ใช่สมาชิก ทำให้ภาครัฐเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีเป็นมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ"
จิตรกร ย้ำว่า การทุจริต 1% ของปริมาณธุรกิจทั้งหมดของสหกรณ์ หลายคนอาจจะไม่ยี่หระ แต่จริงๆแล้วเหมือนเป็นมะเร็ง...เป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้น ต่อไปก็จะขยายลุกลาม ต้องเร่งตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ข้อมูลสำนักนายทะเบียนและกฎหมาย วันที่ 31 มกราคม 2553 ...สหกรณ์ที่ประสบปัญหาทุจริตและมีข้อบกพร่องมีจำนวนทั้งสิ้น 610 สหกรณ์
แบ่งเป็นสหกรณ์ที่มีการทุจริตด้านเงินสดขาดบัญชี จำนวน 286 สหกรณ์ จำนวนเงิน 285,385,658.94 บาท
กรณี ที่หนักหนา...สหกรณ์ที่มีทุจริตด้านสินค้าขาดบัญชี จำนวน 161 สหกรณ์ จำนวนเงิน 57,885,541.71 บาท สหกรณ์ที่มีการทุจริตด้านเงินสดและสินค้าขาดบัญชี จำนวน 119 สหกรณ์ จำนวนเงิน 161,431,702.13 บาท
แยกเป็นกรณีเงินสดขาดบัญชี...จำนวนเงิน 98,409,676.92 บาท และกรณีสินค้าขาดบัญชี...จำนวนเงิน 63,022,025.21 บาท
จิตรกร บอกอีกว่า เมื่อพูดถึงสหกรณ์ทุกคนมองในแง่ดีว่าสหกรณ์เป็นเรื่องของความโปร่งใส สุจริต ยุติธรรม ความเสมอภาค อยากบอกว่าเราทำมาหากินช่วยกันในหมู่คณะ คนกันเองต้องไม่โกงกัน
"เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินของสมาชิก ผู้ที่ถือหุ้น ผู้บริหารและผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากสมาชิก...
ถ้าท่านโกงสหกรณ์เท่ากับท่านโกงตัวเอง โกงญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่นเลย"
แนวทาง แก้ไข จิตรกร บอกว่า สิ่งแรกสมาชิกทุกคนต้องช่วยกันดูแล ช่วยกันเลือกคนดีๆ ที่รักความสุจริต โปร่งใส มีความเสมอภาค มีความตั้งใจเข้ามาเป็นกรรมการบริหารสหกรณ์ และช่วยกันตรวจสอบ....ปัญหาต่างๆ คงไม่เกิดขึ้น
ในส่วนของกรมส่ง เสริมสหกรณ์ได้เปิดสถาบันพัฒนากรรมการสหกรณ์ขึ้น เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริหารสหกรณ์ ด้านการบริหารสหกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นการปลูกจิตสำนึกให้กลุ่มคนเหล่านี้ มีความซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรรม
เพื่อให้การดำเนินงานของสหกรณ์เกิดประโยชน์กับสมาชิกของสหกรณ์อย่างแท้จริง
นอกจาก นี้ ยังมีแนวคิดที่จะให้ผู้ที่เป็นกรรมการสหกรณ์ ต้องผ่านการอบรมจากสถาบันพัฒนากรรมการสหกรณ์ หรือสถาบันการศึกษา หรือชุมนุมสหกรณ์ระดับชาติ หรือสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย หรือ
หน่วยงานต่างๆที่กรมส่งเสริมสหกรณ์และขบวนการสหกรณ์ไทยให้การรับรอง
สิ่ง ที่อยากจะฝากถึงสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ...สหกรณ์ได้ดำเนินกิจการตามหลักการ อุดมการณ์ วิธีการสหกรณ์ ที่รัฐให้การอุปถัมภ์เพราะรัฐถือว่าสหกรณ์เป็นองค์กรธุรกิจที่แตกต่างจากภาค เอกชน เพราะสหกรณ์เป็นการดำเนินธุรกิจที่อยู่ได้ด้วยตนเอง
"เน้นที่สมาชิก ไม่เน้นที่จะทำธุรกิจกับบุคคลภายนอก"
สิ่ง เหล่านี้สหกรณ์ต้องยึดถือกติกาของตนเองอย่างเคร่งครัด ในการที่ไม่ก้าวล่วงคนอื่น เพราะจะทำให้เกิดความไม่เสมอภาคในสังคม เพราะสหกรณ์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อให้สมาชิกช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ช่วยกันแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่างๆที่คณะตนเองประสบอยู่ให้ดีขึ้น
ซึ่งจุดสุดยอดของสหกรณ์คือ "อยู่ดี กินดี มีสันติสุข"
แผน ในอนาคตที่วางเอาไว้ ระยะยาว 5 ปี (2553-2557) อันดับแรก... สร้างความเข้มแข็งให้สมาชิกสหกรณ์ รณรงค์อุดมการณ์ หลักการสหกรณ์ ให้สมาชิกเป็นศูนย์กลางในการจัดตั้ง ส่งเสริมระบบสหกรณ์ เพิ่มศักยภาพบริหาร คุณภาพชีวิตสมาชิก
อันดับต่อมา...เพื่อพัฒนาระบบบริหารสหกรณ์ให้ทัน สมัย ด้วยการวางแผนกลยุทธ์การพัฒนาสหกรณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคมให้ตรงกับความ ต้องการของสมาชิก นำแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัติ โดยเน้นให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน จัดระบบการบริหารความเสี่ยง มีระบบตรวจสอบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ
อันดับที่สาม...พัฒนาสหกรณ์ให้ เข้มแข็งและยืนได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีการพัฒนาสหกรณ์อย่างยั่งยืน พัฒนาสหกรณ์เข้าสู่ระบบมาตรฐานสหกรณ์ พัฒนาสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ สังคม ให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะครบวงจร พัฒนาสู่ระบบเครือข่ายสหกรณ์ทั้งในประเภทเดียวกันและต่างประเภทกัน
ดัง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งว่า "คำว่าสหกรณ์นี้ก็นับว่าเป็นคำที่ใหม่ แต่ว่าการทำแบบสหกรณ์ทำมานานแล้ว..." และ... "การสหกรณ์นี้ถ้าเข้าใจดีแล้ว ก็เห็นว่าเป็นวิธีทางเดียวที่จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้าของประเทศได้..."